บั้นปลายชีวิตอยากไป DEAD แบบไหนดี ? “ ไปดีๆ ” หรือ “ ? จะไปซะที” (D_D) (T_T)
อยากให้ทายาท เลี้ยงเราแบบไหน
แบบยาวๆ หรือสั้นๆ
แบบขอไปดีๆ D_D หรือ แบบขอไปทีเถอะ T_T
วันก่อนได้ยินข่าวเฮียผู้ดูแล สังหาร ผู้ป่วยพี่สาวติดเตียง และหลานที่ป่วยออทิสติค ไหมคะ
คืออยู่ในหมู่บ้านเดียวกับ คนดีกรุ๊ปเราเลย
ได้ยินข่าวแล้วสลดใจ แต่เข้าใจความคับข้องใจของทั้ง 2 ฝ่าย
แต่จะปล่อยไปตามกรรมหรือ? มันต้องป้องกันได้บ้างน้า !
ทำอะไรสักอย่าง เผื่อ วัน นึงเราตกเป็นฝ่าย ถูกดูแล หรือผู้ดูแล เราจะได้สบายใจทั้ง 2 ฝ่าย
ว่าเราได้ทำดีที่สุดแล้ว จะได้ไม่ต้องเกิดอาการ
“ ค้างคาใจ “ กันในภายหลัง
และขยับไปไหนไม่ได้ ได้แต่นอนเฉยๆ (>_<) (>_<)
ให้อาหารเหลวปั่น ทางสายยาง ไม่เคยได้ลิ้มรส อาหาร
หรือแม้แต่น้ำก็ได้กินน้อยมากๆ แค่วันละไม่กี่ซีซี ไม่กี่หยด ผ่านปาก และมัก
มีอาการไอตลอด เพราะ มีเสลด
“ อ้าวมีเสลดก็กินน้ำสิ หิวข้าว ทำไม ไม่ให้กิน “
พยาบาล: กินไม่ได้ค่ะ เพราะเดี๋ยวสำลัก
เพราะมีเสลดเยอะ
ต้องใช้ดูดเสลดเอา . . . โห งี้ก็ทรมาณ สิ
พยาบาล : ก็คุณปู่จะเอาสายยางออก สายฉี่ออก เพราะรำคาญ
ก็เลยต้องมัดมือเท้าให้ นอนติดเตียง ค่ะ คุณนาย
(ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังเดินเหินได้)
ก็ต้องโดนมัดไว้บนเตียง ทั้งวันทั้งคืน
กล้ามเนื้อเมื่อไม่ได้ขยับ ก็ลีบลง ไม่เห็นแววเลยว่าจะได้กลับมาเดินได้ . . . .
พยาบาล : นี่ดีนะ ที่ปู่ยังไม่โดน เจาะคอ หรือมีท่อออกซิเจนอีก
นี่คือวิธีการดูแลผู้ป่วย . . . เพื่อความยืนยาว ไม่ใช่ เพื่อความมั่นคงนะ
จึงต้องเต็มไปด้วย สาย สาย สาย สาย ส า ย
บอกเลยว่า หมอ พยาบาล เขาทำตามหน้าที่ ที่เขาเรียนมา แต่
หมอสันต์เคยบอกว่า “ นับถึงวันนี้ยังไม่เคยมีหลักฐานวิจัยแม้แต่ชิ้นเดียวที่ยืนยันว่าการให้อาหารทางสายยาง
จะทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น ในทางกลับกันมีแต่หลักฐานว่าการให้อาหารทางสายยางหรือทางพิเศษอื่นๆ นั้น
บั่นทอนคุณภาพชีวิต
และเกิดภาวะแทรกซ้อนเช่นปอดบวม จากการสำรอก
ต้องมีการมัดมือมันแขน คลื่นไส้ เสมหะมาก ท้องเสีย
และต้องถูกเจาะเลือดเพื่อติดตามดูตัวชี้วัดต่างๆมากขึ้น .”
ค่าใช้จ่ายตามมาอีก บาน . . . . . ไม่จบง่ายๆ ดอก ยาว .. .
ตรงกันข้าม ถ้าเราได้ อดอาหารก่อนตาย เราจะได้
เอ็นดอร์ฟินส์ ที่ช่วยให้เรา
คลาย เครียส ทำให้หายปวด ตายแบบเบลอ ๆ . . . . . สงบก่อนตาย
แต่การตายใน รพ. แบบ ยื้อด้วยเครื่องมือแสนทรมาณ หลากชนิด
จะทำให้สมองรับรู้อาการอย่าง เต็มๆ
ผู้ป่วยจึงต้องทนทรมาณจากความเจ็บปวด ยาวนาน กว่าที่ควรจะเป็น
คนดีกรุ๊ป จึงอยากทำโปรเจ็คเล็ก ชื่อ
ขอไปดีๆ D_D หรือ แบบขอไปทีๆ T_T
: : : : : : คำตอบ : : : : :
ด้วยการจดบันทึกข้อตกลงกันในหมู่ญาติกัน ไว้ยื่นให้หมอดู
Ad vance Directives
โดยคนที่คิดว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ ใน วันนึง
(อ้าวมันก็ทุกคนนี่นา) นั่นสิ ? ? ?
โดยตกลงกันเลยว่าจะเอายังไง ถ้าฉันใกล้ D E A D เด๊ดแล้ว
จะกู้ร่างฉันให้กลับมาหายใจเฉยๆ เพื่อให้เธอเฝ้าดูแลฉัน
เพราะยังทำใจไม่ได้ที่ จะปล่อยไป หรือ เกรงคำครหา ว่าดูแลพ่อแม่ไม่ดีพอ
จะทำใจได้หรือ ที่จะ ปล่อย ตาย ไปตาม ธ ร ร ม ช า ติ
โดยเขียนในจดหมายเลยว่า เราไม่ต้องการให้หมอ ทำนั่นนี่ เพื่อยื้อชีวิต
แต่จะรักษา เพื่อความมั่นคงของชีวิตเท่านั้น
อ้างอิง จาก หมอสันต์ ใจยอดศิลป์ :
โดยสามารถดาวน์โหลดได้ เลื่อนไปด้านล่างสุด
การทำ CPR และการใส่ท่อช่วยหายใจ ซึ่งหมอสันต์ได้กล่าวแพทย์รุ่นน้องว่า
คอนเซ็พท์ที่ว่าการใส่ท่อช่วยหายใจนี่ถือว่าเป็นการทำเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตด้วยไม่ใช่หรือ ?
หมายความว่าถ้าตีความว่าการใส่ท่อช่วยหายใจเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิต ?
ผู้ป่วยระยะสุดท้ายทุกคนเราก็ควรจับใส่ท่อช่วยหายใจหมดสิ !
เพราะเราต้องการให้ชีวิตในระยะสุดท้ายเขามีคุณภาพมากที่สุด !
แต่โชคดีที่ในประเด็นนี้มีงานวิจัยให้คำตอบไว้เรียบร้อยแล้วว่า
การใส่ท่อช่วยหายใจมีผล
บั่นทอนคุณภาพชีวิตผู้ป่วยอย่างรุนแรง
ไม่ว่าจะวัดด้วยตัวชี้วัดไหน ไม่ใช่เพิ่มคุณภาพชีวิตอย่างที่แพทย์เราเคยเข้าใจกัน
ซึ่งก็จะนำไปสู่ประเด็นใหม่อีกว่าอ้าว.. ถ้าการใส่ท่อช่วยหายใจไม่เพิ่มคุณภาพชีวิต
แล้วอะไรละที่จะเพิ่มคุณภาพชีวิตในภาวะทางเดินลมหายใจอุดกั้น
หมายถึงจะลดการหอบเหนื่อย คำตอบก็คือ
การยอมรับความล้มเหลวของอวัยวะหลักที่เกิดขึ้นตามครรลองของระยะสุดท้ายของชีวิต
และการใช้มาตรการพยุงอื่นๆที่ไม่ทำลายคุณภาพชีวิต เช่น..การใช้มอร์ฟีน
ซึ่งก็จะนำไปสู่ประเด็นใหม่อีกว่า อ้าว.. ถ้าฉีดมอร์ฟีนให้คนไข้ที่กำลังใกล้จะเกิดภาวะการหายใจล้มเหลว
ก็อาจจะไปทำให้คนไข้เสียชีวิตเร็วขึ้นจากภาวะแทรกซ้อนของมอร์ฟีนสิ
ซึ่งในประเด็นนี้วงการแพทย์ก็มีการทำวิจัยไว้แยะและมีข้อสรุปออกมาเรียบร้อยแล้วเป็นสองแขนง คือ
แขนงที่ 1. สรุปว่า การใช้มอร์ฟีนเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยระยะสุดท้ายโดย “ยอมรับ” ว่า
มอร์ฟีนเองอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตเร็วขึ้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกที่ควรตามหลักวิชา
(ซึ่งความจริงยาทุกตัวที่ใช้ก็ล้วนอาจมีผลข้างเคียงทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตเร็วขึ้นทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่แต่มอร์ฟีนดอก)
แขนงที่ 2. สรุปว่า การใช้มอร์ฟีนในขนาดทีละน้อยๆในภาวะสมองยังตื่น
และรับรู้อาการปวดและอาการตื่นกลัวต่างๆได้มากอยู่
มีความเสี่ยงที่มอร์ฟีนจะกดการทำงานของสมองจนผู้ป่วยเสียชีวิตได้น้อยมาก
พูดง่ายๆว่าประโยชน์ของมอร์ฟีนคุ้มความเสี่ยงของมัน
อีกเรื่องที่มีความสำคัญคือเรื่องภาวะแทรกซ้อนระหว่างดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายอีกแบบหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นบ่อยมาก คือผู้ป่วยกินไม่ได้ จึงเกิดประเด็นขึ้นมาว่า
“ ควรใส่สายให้อาหารทางสายยางหรือทางพิเศษอื่นๆ “ หรือไม่
(<em>ANH</em> – Artificial nutrition and hydration) หรือไม่
ถ้าผู้ป่วยยังรู้ตัวดีก็ไม่มีปัญหา ก็แค่ถามผู้ป่วยตรงๆว่าจะเอาไหม เอาก็ใส่ ไม่เอาก็ไม่ใส่ แต่ปัญหามักเกิดเมื่อผู้ป่วยไม่รู้ตัวแล้ว และแพทย์เองก็
เข้าใจผิดไปว่าการให้ อาหารทางสายยางช่วย
“ เพิ่มคุณภาพชีวิตแก่ผู้ป่วยติดเตียง “ และผู้ป่วยระยะสุดท้ายอื่นใดที่ช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว
ซึ่งเป็นความเชื่อที่ ไม่สอดคล้องกับหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่
เพราะนับถึงวันนี้ยัง ไม่เคยมีหลักฐานวิจัยแม้แต่ชิ้นเดียวที่ยืนยันว่าการให้อาหารทางสายยางจะทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น ในทางกลับกันมีแต่หลักฐานว่าการให้อาหารทางสายยางหรือทางพิเศษอื่นๆบั่นทอนคุณภาพชีวิตและเกิดภาวะแทรกซ้อนเช่นปอดบวมจากการสำรอก ต้องมีการมัดมือมันแขน คลื่นไส้ เสมหะมาก ท้องเสีย และต้องถูกเจาะเลือดเพื่อติดตามดูตัวชี้วัดต่างๆมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจุบันนี้เราเข้าใจสรีรวิทยาของชีวิตระยะสุดท้ายมากขึ้น ว่าในช่วงเวลาดังกล่าวอวัยวะร่างกายจะทะยอยทำงานน้อยลง หมดความอยากอาหารและความกระหายน้ำ กลไกการกลืนไม่ทำงาน สติความรู้ตัวลดลง ขณะที่ผู้ป่วยอยู่ในภาวะขาดอาหาร (starvation) นั้น ร่างกายจะหลั่ง
ออกมา ฤทธิ์ของ เอ็นดอร์ฟินส์ มีผลต่อทั้งความคิด จิตใจ และร่างกาย
มันคลายความเครียด ทำให้หายปวด
และทำให้ใจค่อยๆถอยห่างออกจากความจำเก่าๆและสิ่งเร้าที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะต่างๆ
ความ ยึด มั่น ถือ มั่น ทั้งหลายที่เคยมีจะแผ่วลงไป
สมองจะค่อยๆลดการรับรู้รายงานจากอวัยวะอื่นของร่างกายซึ่งจะทยอยล้มเหลวและส่งรายงาน -เชิงลบ- เป็นอาการต่างๆให้สมองทราบแบบ ถี่ยิบ
พูดง่ายๆว่าการตายแบบธรรมชาติทำให้สมองเบลอร์ก่อน . . . .แล้วค่อยทำให้อวัยวะต่างๆล้มเหลวทำให้คนไข้สงบขณะจะตาย
แต่การตายในโรงพยาบาล " " " " " กลับทำให้สมองตื่นรับรู้อาการได้เต็มๆอยู่ " " " " " "ขณะที่อวัยวะอื่นทะยอยล้มเหลวลงไป
และรายงานอาการต่างๆให้สมองทราบถี่ยิบ""" "" "" "" """ ทำให้คนไข้ทรมานจากอาการสาระพัด
การพยายามอัดอาหารเข้าไปในร่างกายผู้ป่วยในช่วงนี้ " " " " " " " จึงกลับจะเป็นผลเสียต่อการดำเนินไปในเชิงสรีรวิทยาของร่างกาย
ref: นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
คนดี กรุ๊ป ขอแนะนำ สมุดเบาใจ
สมุุดเบาใจ คือเครื่องมือช่วยวางแผนการดููแล ล่วงหน้า
(Advance Care
ซึ่งจะเสนอแนะวิธีการรักษา แบบประคับประคอง
Palliative Care การรักษา แบบไม่เน้นความยืนยาว แต่เน้นคุณภาพของการมีชีวิตอยู่ และจะไม่ใส่สายยางต่างๆ เพื่อความทรมาณ (กรณีหมดหนทางรักษาแล้ว)
และสื่อสารเจตนาล่วงหน้าเกี่ยวกับ การดููแล สุุขภาพช่่วงสุุดท้าย
ให้ครอบครัวและทีมสุุขภาพรับทราบ พวกเขาจะได้ไม่ต้องเดาใจในกรณีที่
ท่านป่วยระยะสุุดท้ายและ ไม่สามารถสื่่อสารได้ โดยมีเป้าหมาย การดููแลที่
สอดคล้องกัน ร่วมมือกัน ดูแลท่านให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่
สมุุดเบาใจ จะนำ พาท่านสำรวจมุมมองต่อชีวิตและความตาย ให้ความรู้เรื่อง
การดููแลสุุขภาพช่วงสุุดท้าย ช่่วยในการวางแผนดููแลล่่วงหน้้า ทั้้งมิติร่างกาย
จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ รวมไปถึงการจัดการร่างกายและงานศพ
การเขียน สมุดเบาใจ ทำได้ใน ทุุกช่วงของชีวิต
ทั้้งช่่วงที่
ช่่วงที่ท่านเจ็บป่วย เอกสารจากสมุุดเบาใจเล่มนี้ ถือเป็นหนังสือ
แสดงเจตนาเลือกวิธีการรักษาล่วงหน้า ในวาระสุุดท้ายของชีวิต ตาม พ ร บ.
สุุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 12
สนใจสมุดเบาใจ
เพียงสั่งซื้อสินค้า COOLLiving shop แล้วแชร์ บทความนี้
แล้วทักทางไลน์ @coolliving แจ้งว่าอยากได้นส.สมุดเบาใจพร้อมแนบหลักฐาน
ขอสงวน สิทธิ์ ท่านละ 1 เล่ม นะคะ จนกว่าของจะหมด
หรือ หรือง่ายๆ แจกฟรีๆ แค่ดาวน์โหลดฟอร์ม ด้านล่าง
แบบ 1 ละเอียด 7หน้า
แบบ2 สั้นกระชับกว่า 5 หน้า
แล้วกรอก และ ลงชื่อ อย่าลืมเขียนไว้สักนิดนะคะ ว่า ขอมอร์ฟีน ได้นะ
และแบบฟอร์ม อย่างสั้น